วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ดอกไม้..ในวรรณคดี



ดอกไม้ในวรรณคดีไทย

ดอกไม้ ในวรรณคดีไทย หมายถึงดอกไม้ที่บรรดากวีไทยท่านได้พรรณาไว้เป็นบทร้อยกรองอย่างไพเราะใน หนังสือวรรณคดี เช่น รามเกียรติ์  อิเหนา เงาะป่า ดาหลัง ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี บทเห่เรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก กาพย์ห่อโคลงนิราศทองแดง นิราสหริภุญชัย นิราศพระประธม นิราศสุพรรณ นิราศเมืองแกลง นิราศภูเขาทอง นิราศอิเหนา นิราศเจ้าฟ้าลิลิตพระลอ และลิลิตตะเลงพ่าย

    เป็นความสามารถเฉพาะตัวของกวีไทย ที่ได้พรรณาชื่อดอกไม้หลายชนิดไว้อย่างไพเราะ ทั้งลักษณะ สีสัน กลิ่น ทำให้ผ้อ่านเกิดมโนภาพ ประทับใจ เหมือนได้ไปอยู่ ณ ที่ด้วย  หวังว่าสิ่งที่เรียบเรียงมาคงจะเป็นประโยชน์และเกิดความประทับใจกับการพรรณา ของกวีไทยบ้าง





พุทธชาด



“…ชาตบุษย์พุทธชาดขึ้นเคียงกลาง
กุหลาบกนาบส่องทางกลิ่นฟุ้ง…”
นิราศทองแดง : เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์
ชื่ออื่นๆ:บุหงาประหงัน
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Jasminum auriculatum Vahl
 วงศ์:OLEACEAE

พุทธชาดเป็นไม้เถากึ่งต้นกึ่งเลื้อย  ต้นแตกกิ่งก้านสาขาเป็นออกไป  สูง 1-2 เมตร  ใบ  ออกเป็นคู่ๆ ตามกิ่ง  ใบยาวประมาณ  6 ซม. สีเขียวสด 






“…สารภียี่เข่งเบญจมาศบุนนาคการเกดลำดวนหอม
แถมนางแย้มแกมสุกรมต้นยมโดยพระพายโชยชื่นใจในไพรวัน…”
พระอภัยมณี : สุนทรภู่
ชื่ออื่นๆ:Crape myrtle
ชื่อพฤกษศาสตร์:Lagerstroemia indica L.
 วงศ์:LYTHRACEAE
 ยี่เข่งมีต้นแตกกอ แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ต้น  ผิวต้นสีเทาเกือบขาว  เรียบ  ลอกได้เป็นแผ่นบางๆ  กิ่งก้านอ่อน มีปีกแคบๆ  ดูเหมือนเป็นรูปสี่เหลี่ยม  ต้นสูงประมาณ 7 เมตร  ใบ เดี่ยว ออกตรงข้ามเรียงเป็นคู่ๆ ไปตามข้อต้น  แต่ใบที่อยู่ตรงส่วนยอดของต้นจะออกสลับกัน   ใบเป็นรูปไข่ โคนใบมน ปลายมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบและมัน ท้องใบตรง เส้นกลางใบมีขนสั้นๆ ปกคลุมเล็กน้อย ใบกว้าง  2-4 ซม. ยาว 2.5- 7 ซม. สีเขียว ใบแทบจะไม่มีก้านใบเลย   ดอกช่อ  ออกเป็นช่ออยู่ที่ยอดของต้น ส่วนล่างของดอกเป็นเส้นกลมเล็กๆ  ส่วนบนบานแผ่ออกเป็นกลีบกลมขอบหยิก มีรอยยับย่น 6 กลีบ  สีม่วง หรือชมพู  ขาว แดงแก่ แดงอ่อน แดงดำ เกสรกลางดอกปลายเป็นตุ้มสีเหลือง  ดอกบานเต็มที่ประมาณ 4 ซม.ดอกเล็กกว่าดอกลั่นทมเล็กน้อย มีทั้งดอกซ้อนและดอกลา ดอกซ้อนกลิ่นหอมเย็น  ผล เมื่อดอกร่วงโรยไปจะเป็นผลรูปทรงกลมยาวประมาณ 1 ซม. กว้างประมาณ 1 ซม. ออกดอกตลอดปี  การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด  ตอนกิ่งปักชำ ประโยชน์  ใบ เป็นยาบำรุงหัวใจ   ดอก ใช้ทาแก้ผดผื่นคัน แก้บิด  รากและเปลือกเป็นพิษใช้ผสมยาแก้โรคผิวหนัง  ถิ่นกำเนิด จีน เป็นผู้นำเข้าตอนปลายรัชกาลที่ 3  เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย  ทนแล้ง น้ำกร่อย น้ำเค็มได้ 





“…รสสุคนธ์ปนมะลิผลิดอกโตดอกส้มโอกลิ่นกล้าน่าดม
มลิวันพันกิ่งมณฑาเทศแก้วเกดดอกดกตกอยู่ถม…”
อิเหนา : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.2
 ชื่ออื่นๆ:ยี่หุบ
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Talauma candollei Blume
 วงศ์:MAGNOLIACEAE

มณฑาเป็นไม้พุ่ม สูง 2-3 เมตร  ต้นกลมเล็ก กิ่งยืดสูง ต้นอ่อนลักษณะคล้ายจะเลื้อย ใบ เดี่ยว ออกสลับ ใบใหญ่ไม่แตกสาขามาก รูปใบหอก  กว้าง 8-12 ซม.  ยาวประมาณ 16 ซม. โคนสอบ  ปลายแหลม แผ่นใบเป็นคลื่นหรือเป็นลอน   ดอก ใหญ่ สีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมแรงตอนเช้า ออกเดี่ยวตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง  ดอกรูประฆังห้อยลง กลีบเลี้ยง 3 กลีบ สีเขียวอ่อนอมเทา หนาและแข็ง  เวลาบานไม่คลี่เต็มดอก กลิ่นหอมแรง ผล เป็นผลรวม ออกดอกตลอดปี  การขยายพันธุ์   เพาะเมล็ด   ตอนกิ่ง ประโยชน์ เป็นไม้ประดับที่มีกลิ่นหอม  ถิ่นกำเนิด  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ชอบที่ร่มรำไร 




“…รวยรินกลิ่นรำเพยคิดพี่เคยเชยกลิ่นปราง
นั่งแนบแอบเอวบางห่อนแหห่างว่างเว้นวัน…”
บทเห่เรือ : เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์
 ชื่ออื่นๆ:กระบอก
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Thevetia peruviana Schum.
 วงศ์:APOCYNACEAE

รำเพยเป็นไม้พุ่ม  สูง 2-3 เมตร  ทรงพุ่มโปร่ง ต้นมียางขาวข้น ยางเป็นพิษ  ใบ เดี่ยว เรียวยาว ดอกช่อ ออกดอกเป็นช่อที่ซอกใบปลายกิ่งช่อละ 3-8 ดอก ดอกมีลักษณะเป็นหลอด ปลายกลีบแยกจากกันคล้ายรูประฆัง  มีหลายสี เช่น สีขาว เหลือง ส้ม  ผล  เป็นรูปสี่เหลี่ยม สีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีดำ  เมล็ด    มี 1-2 เมล็ด  ออกช่วงฤดูฝนถึงฤดูหนาว  ออกดอกตลอดปี  การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด และตอนกิ่ง ประโยชน์  เป็นไม้ประดับ ถิ่นกำเนิด จากอเมริ

กาเขตใต้




“…เห็นชายผ้าสีดาบนค่าไม้เหมือนละม้ายชายสะไบบังอร…”
อิเหนา : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.2
 ชื่ออื่นๆ:กระปรอก, กระปรอกหัวหมู ตองข้าวห่อย่าบา, Staghorm fern
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Platycerium wallichii, Hook.
 วงศ์:POLYPODIACEAE
ชายผ้าสีดาเป็นพืชอิงอาศัย มีเหง้าสั้น ยาวไม่เกิน 1 ซม. มีใบเป็นแผ่นซึ่งปกคลุมด้วยเกล็ดหุ้มอยู่ ใบนี้ยาวได้ถึง 10 ซม. แยกเป็น 2 แฉก มีเส้นแผ่นใบเห็นได้ชัดทั้ง 2 ด้าน เส้นใบก็แตกเป็น 2 แฉก ด้วยเส้นใบย่อยเป็นตาข่าย ใบหนาและอวบน้ำ ที่โคนก้านใบ สีเขียว ใบปกติยาวได้ถึง 50 ซม. ห้อยลง แยกเป็น 2 แฉก แฉกแคบเห็นเป็น 2 แฉกชัดเจน ใบหนามีขนรูปดาว ใต้ใบที่ด้านล่างปกคลุมด้วยสปอร์ ปนกับเส้นแทรกที่เป็นรูปดาว มีหัวกลมโตเกาะตามกิ่งไม้ใหญ่  มีกาบใบเป็นแฉก  ห้อยย้อยลงมายาวงามเหมือนชายผ้าขาดติดต้นไม้
การขยายพันธุ์ แยกหน่อหรือหัวเล็กๆ
ประโยชน์ เป็นไม้ประดับ   หัวตากแห้งใช้ปลูกชำกล้วยไม้เพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น
ถิ่นกำเนิด อินเดียตะวันออก พม่า ยูนนานถึงมาเลเซีย
 




“…กิดาหยันน้องน้อยสอยสาวหยุดเบญจมาศชาตบุษย์ต่างต่าง
บ้างโน้มเหนี่ยวหักกิ่งปริงปรางมาถวายหลายอย่างให้นางชม…”
อิเหนา : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.2
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Chrysanthemum morifolinm Ramat. and hybrid
 วงศ์:COMPOSITAE
เบญจมาศเป็นไม้ล้มลุก  สูง 30-90 ซม. แตกกิ่งก้านสาขาไม่มาก ตามกิ่งก้านและต้นมีขนละเอียด
ใบ เรียวรี สีเขียว  ใบต่างกันแล้วแต่พันธุ์ ซึ่งมีมากมาย
ดอก  มีหลากสี ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ แต่ละลักษณะมีดอกกลมเหมือนกันหมด  กลีบดอกซ้อนกันมากหรือน้อยแล้วแต่พันธุ์  สีต่างๆ กัน เช่น ชมพู แดง ขาว ม่วงอมน้ำเงิน ม่วงและเหลือง
การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด
ประโยชน์ ทั้งต้นใช้รักษาโรคตับ ปวดศีรษะ วิงเวียน  บำรุงประสาท  ใบและดอก กินเพื่อรักษาโรคนิ่ว วัณโรค โรคต่อมน้ำเหลือง ใบและต้น ตำเป็นยารักษาโรคผิวหนังและแผลน้ำร้อนลวก ใช้เป็นไม้ประดับ หรือไม้ตัดดอก ดอกใช้ทำดอกไม้ประดิษฐ์
ถิ่นกำเนิด อยู่ในจีน  เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของเอเซียตะวันออก
เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการแสงแดดจัด  ปลูกในดินที่ร่วนผสมอินทรีย์วัตถุจะช่วยให้ดอกดก  




“…กับหมู่ไม้ไกรกรวยกันเกรากร่างพะยอมยางตาพยัคฆ์พะยุงเหียง
ข่อยมะขามตามทางสล้างเรียงนกเขาเคียงคู่ดูประสานคำ…”
นิราศพระบาท : สุนทรภู่
ชื่ออื่นๆ:พะยอมดง สุกรม
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Shorea roxburghii G. Don
 วงศ์:DIPTEROCARPACEAE
พะยอมเป็นไม้ต้นสูงถึง 15-30 เมตร  เปลือกต้นสีเทาเข้ม แตกเป็นร่อง เนื้อแข็ง สีเหลืองอ่อน ใบ เดี่ยว  ออกสลับ  รูปขอบขนาน โคนมน ปลายมนหรือเป็นติ่งสั้นๆ  ขอบเป็นคลื่น ผิวเกลี้ยง เป็นมัน  ดอกช่อ  ขาวแกมเหลืองอ่อน กลิ่นหอมออกเป็นช่อใหญ่ตามกิ่งและปลายกิ่ง  กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน กลีบดอก  5 กลีบ เรียงเวียนกัน ดอกดก มักออกเต็มต้น ผล  รี  กว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 2 เมตร กลีบเลี้ยงเจริญเป็นปีกยาว 3 ปีก ปีกสั้น 2 ปีก คล้ายผลยาง   ออกดอกเดือน พฤศจิกายน- ธันวาคมการขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด  ประโยชน์  กินแทนหมากและใช้ฟอกหนัง เนื้อไม้แข็งใช้ก่อสร้าง ดอก แก้ลม ลดไข้ บำรุงหัวใจ  เปลือกต้น แก้ท้องเดิน ท้องร่วง  ลำไส้อักเสบ  ใส่เครื่องหมักดองเพื่อกันบูดในน้ำตาลสด ถิ่นกำเนิด อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย พะยอมขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งและชื้น ตลอดจนป่าดิบแล้งทั่วไป   ชอบดินร่วนปนทรายที่มีอินทรีย์วัตถุสมบรูณ์  ทนต่อความแห้งแล้งและแสงแดดจัด  




"…มลุลีประดู่ดง  ปรูประยงค์ยมโดย  โรยร่วงเรณูเร้า   เย้ากมลชวนชื่น    สุรภีรื่นรสสุคนธ์…"
                 ลิลิตตะเลงพ่าย  :  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า   กรมพระปรมานุชิตชิโนรส


 ชื่ออื่นๆ:สุคนธรส เสาวรส เสาวคนธ์
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Tetracera loureirii (Fin & Gagnep.) Pierre ex Craib
 วงศ์:DILLENIACEAE
รสสุคนธ์เป็นไม้เถา เนื้อแข็ง ใบ เดี่ยว ออกสลับ รูปรี  กว้าง 4-7 ซม. ยาว 7-16 ซม. โคนเรียว  ปลายแหลม ขอบจัก เนื้อใบสาก  ดอกช่อ กลิ่นหอม ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปรี โค้ง  ดอกติดทนจนเป็นผล  กลีบดอก 5 กลีบ บาง ร่วงง่าย  ผล  ค่อนข้างกลม  เมล็ด  รูปไข่  1-2 เมล็ด มีเนื้อหุ้มสีแดง ออกดอกเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์  การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด   ตอนกิ่ง  ประโยชน์  ดอกเข้ายาหอม  บำรุงหัวใจ  รสสุคนธ์ขึ้นตามป่าละเมาะ ป่าผลัดใบและริมทะเล ปลูกได้ทั่วไปทั้งที่ร่มและรำไร

 


“…หอมดอกไม้ใกล้กุฏิสายหยุดมะลิลา
แย้มผกากลิ่นขจรข้างต้นหาได้ทุกอย่างพื้นต่างพรรณ…”
เห่เรือพระอภัยมณี : สุนทรภู่
 ชื่ออื่นๆ:มะลิ มะลิซ้อน
 ชื่อพฤกษศาสตร์:Jasminum sambac L.
 วงศ์:OLEACEAE
มะลิลาเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ต้น ทรงพุ่มสูงประมาณ 150 ซม. ใบ เดี่ยว แตกใบเรียงกันเป็นคู่ๆ ตามก้านต้น ใบมน หนา ป้อม  โคนใบสอบเข้าหากัน   ปลายใบแหลม ริมขอบใบเรียบไม่มีหยัก  สีเขียวแก่เป็นมัน  ยาว 5-7 ซม. ดอก ลาขาวกว่า เล็กกว่ามะลิซ้อน มะลิซ้อนที่ไม่ซ้อนเรียกว่าดอกลา หรือมะลิลา สีขาวประ ออกบริเวณยอดของก้าน มีกลิ่นหอม  มะลิลาหอมกว่ามะลิซ้อน หอมตั้งแต่เย็นจนถึงวันรุ่งขึ้น   ดอกบานเต็มที่ประมาณ 2 ซม. ออกดอกตลอดปี โดยเฉพาะฤดูร้อนมีดอกดกมาก  การขยายพันธุ์  ตอนกิ่ง ปักชำ หรือทับกิ่ง ประโยชน์  ดอกสดหรือดอกแห้ง ใบ ต้มกินแก้โรคบิด ปวดท้อง  ดอกสดตำพอกแก้ปวดศีรษะ ผิวหนังผื่นคัน ดอกใช้ทำพวงมาลัย  ทำน้ำหอม และบูชาพระ ดอกแห้งใช้เป็นยาแต่งกลิ่นใช้เป็นดอกไม้ของวันแม่แห่งชาติ  ถิ่นกำเนิด อินเดีย เป็นไม้กลางแจ้งชอบแสงแดดจัด เจริญเติบโตดีในที่ดินร่วนซุย 


และยังมีดอกอื่นๆอีกมากๆสามารถเข้าไปดูได้ที่  http://dokmaithai24.blogspot.com/











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น